ข้อความ

บล๊อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันและเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้ได้

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555


'เปิบหมา'อาหารเหลาชาวเวียดนาม

'เปิบหมา' อาหารเหลา-เสริมดวง-ฟื้นไข้ ย้อนรอยวัฒนธรรมการกินผ่าน 'ยลญวน'


เกิดเสียงวิพากษ์หลากหลายแง่มุมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายหลังเจ้าหน้าที่จับกุมขบวนการค้าสุนัขข้ามชาติพร้อมทั้งยึดของกลางร่วม 2,000 ตัว พฤติกรรมของผู้ต้องหากลุ่มนี้จะออกตระเวนซื้อ แลก และลักสุนัขจากพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอีสาน จากนั้นจับยัดใส่กรงลำเลียงทางรถยนต์ไปยังพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม ขนสุนัขลงเรือหางยาวข้ามแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ส.ป.ป.ลาว) ก่อนรถบรรทุกส่งต่อไปยังเมืองหลักซาว แขวงบอริคำไซมา ส.ป.ป.ลาว กระทั่งถึงด่านกาวแจว ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

 

 
พฤติกรรมการบริโภคเนื้อสุนัข หรือเนื้อหมา ของประเทศเพื่อนบ้านนี้ ท่านทูตพิษณุ จันทร์วิทัน ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่เอกราชทูตไทยประจำกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อปี 2552-2553 ในพล็อตเก็ตบุ๊กชื่อ "ยลญวณ" ตอน .."เปิดพิสดารในเวียดนาม" สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของชาวเวียดนามได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว
ท่านทูตพิษณุ เริ่มต้นด้วยประโยคตรงประเด็นว่า ที่เป็นเรื่องพูดกันมากอีกเรื่องหนึ่งคือ การรับประทานสุนัข หรือพูดง่ายๆ ว่า "คนเวียดนามกินเนื้อหมานั่นเอง"
คนไทยเราและต่างชาติอื่นๆ พอพูดถึงเรื่องคนเวียดนามกินหมาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ เพื่อนผมหลายคนไปเที่ยวฮานอยเห็นเขาเอาสุนัขที่ย่างแล้วใส่ท้ายรถจักรยานยนต์บนถนนก็ทำท่าแปลกๆ ซึ่งเข้าใจได้ว่าเพราะคนไทยไม่นิยมรับประทานเนื้อหมา เพราะมันเป็นสัตว์ใกล้ชิดและเป็นมิตรที่ดีของคน เราถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยง
ทว่าคนเวียดนามมีข้อโต้แย้งว่า การรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดใด เป็นความเชื่อความนิยมของชาตินั้น จะมาเอามาตรฐานความเชื่อของชาติหนึ่งไปใช้กับอีกชาติหนึ่งไม่น่าจะถูกต้อง ดูอย่างคนยุโรป เลี้ยงม้า รักม้า ขี่ม้าด้วยซ้ำ ก็เห็นกินเนื้อม้ากันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครวิจารณ์ อย่างกระต่าย คนเอเชียจำนวนมากถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก แต่ฝรั่งก็เอามาทำอาหารหน้าตาเฉย
ที่มากกว่านั้นคือ เนื้อหมายังเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลี แม้แต่คนยุโรปโบราณ
การกินเนื้อหมาของเวียดนามมีเรื่องน่าสนใจที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้ อย่างแรก คนเวียดนามไม่ได้รับประทานเนื้อหมาทุกคน และไม่ได้มีขายทั่วไป เป็นความนิยมเฉพาะกลุ่มอาจไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ตามวัดในเวียดนามเขาก็ไม่ได้เอาเข้าไปรับประทาน
"เพื่อนคนไทยบางคน ผมพาไปรับประทานอาหารตามร้าน ชอบถามกันว่า แน่ใจนะว่าไม่ใช่เนื้อหมา ผมต้องตอบว่าไม่ต้องกลัว ไม่ใช่เนื้อหมาแน่ ตอบแบบนี้บางคนยังไม่ไว้ใจ กลัวว่าแม้เราจะไม่ได้สั่ง ก็อาจทำมาผิด แบบว่าสั่งเนื้อหมูแล้วคนครัวทำเนื้อหมามาให้ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ พอๆ กับการไปสั่งเนื้อย่างจิ้มแจ่วในร้านอาหารอีสานแถวสนามมวยราชดำเนิน แล้วเกิดวิตกกังวลว่าคนครัวจะเอานิวยอร์กคัทสเต๊ก หรือริบอายนำเข้าจากออสเตรเลียมาย่างให้กิน"
ท่านทูตพิษณุอธิบายว่า เนื้อหมาถือเป็นของพิเศษ เป็นอาหารชั้นดี ราคาเนื้อหมาแพงกว่าเนื้อหมูเกือบ 2 เท่าตัว มีขายในร้านโดยเฉพาะเท่านั้น ฉะนั้นถ้าไปเที่ยวที่ฮานอยโปรดทำใจให้สบาย อย่ากังวลว่าจะได้รับประทานเนื้อหมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
"ถ้าไปรับประทานอาหารตามร้านกับชาวเวียดนาม อย่าถามแบบที่เล่าไปแล้ว เพราะจะเป็นเรื่องตลกโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้ายังนึกภาพไม่ออกว่าตลกยังไง ลองสมมติว่าเราไปกินกระเพาะปลาตามร้านแถวเยาวราช พออาเฮียคนขายยกจานกระเพาะปลามาวางบนโต๊ะ เราก็ถามว่านี่กระเพาะปลา ไม่ใช่หูฉลามแน่นะ ประมาณนั้น"
คนรับประทานเนื้อหมาที่เวียดนามเขาถือว่า ถ้าดวงไม่ค่อยดี ทำการค้าถ้าติดๆ ขัดๆ ต้องแก้ด้วยการกินเนื้อหมา และกินเฉพาะข้างแรมเท่านั้น ส่วนข้างขึ้นห้ามเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะยิ่งโชคร้ายไปกันใหญ่ ยิ่งช่วงระหว่างวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 3 ค่ำ ยิ่งร้ายหนักเข้าไปใหญ่ ดังนั้นร้านขายเนื้อหมาส่วนมากจึงเปิดเฉพาะวันข้างแรมเท่านั้น นี่ผมไม่รวมพวกตามบ้านนอกที่ขายพวกคอเหล้าที่กินกันไม่เลือกมื้อเลือกวัน ดังนั้นพวกทำธุรกิจการค้าที่ต้องการความเฮงเขาก็ถือว่ากินเนื้อหมาแล้วโชคดี
คนเวียดนามเชื่อด้วยว่า เนื้อหมามีโปรตีนสูงกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ ดังนั้นคนที่เจ็บป่วย หรือผ่าตัด ในระยะพักฟื้นร่างกาย แพทย์ชาวเวียดนามจะแนะนำให้ไปซื้อเนื้อหมามารับประทาน ร้านที่ขายเนื้อหมาที่ฮานอยมีอยู่หลายร้าน อยู่ย่านถนนงี ต่าม และบริเวณใต้สะพานลอง เบียน หน้ารานจะเขียนว่า "ถิด จ๋อ" แปลว่า "เนื้อหมา" แต่เมื่อนำมาประกอบอาหารในร้านอาหารชั้นดีเขาจะเขียนว่า "ถิด เก่ย" แปลว่า "เนื้อสุนัข" ฟังดูดีกว่าเล็กน้อย หลักๆ นิยมปรุง 7 เมนู คือ ไส้กรอก ต้มเค็ม ย่าง ต้ม ต้มซุป ผัด และลาบเลือด
ในช่วงหนึ่งท่านทูตพิษณุยกคำกล่าวของล่ามชื่อ "ดาว วัน เติม" หยิบยกสำนวนชาวญวนโบราณมาเล่าว่า...
"โอ้ว่าเกิดมาชาติหนึ่งเล่า
ถ้าตายเปล่าคิดไปแล้วใจหาย
หากปลดปลงนรกจะเสียดาย
ไส้กรอกหมาเป็นอย่างไรไม่เคยลอง"

ทั้งนี้ผู้เขียนยังเล่าประสบการณ์เปิบพิสดารยาดองสมุนไพรและสัตว์แปลกๆ อย่าง "งู" รวมทั้งอาหารพื้นเมืองอีกหลากหลายเมนู
นี่เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนใน "ยลญวณ" จัดพิมพ์โดย "คม ชัด ลึก" บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เวียดนาม รวมทั้งการแข่งขันทางการค้าในฐานะกลุ่มประเทศอาเซียน เชื่อว่าเมื่ออ่านถึงหน้าสุดท้ายอาจทำให้เราเข้าใจเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น