ข้อความ

บล๊อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนรายวิชาอินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวันและเพื่อให้ผู้ที่สนใจศึกษาหาความรู้ได้

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555


การใช้เงินในประเทศเวียดนาม
 
 
เวียดนามยังเป็นประเทศหนึ่งที่สามารถใช้เงินได้สองสกุล ทั้งเงินดอง และเงินดอลลาสหรัฐ  ซึ่งถ้านำเงินบาทไปที่เวียดนามหากไม่แลกไว้ที่สนามบินแล้ว ก็จะหาสถานที่ที่จะไปแลกเงินไทยไปเป็นเงินดองเวียดนามนั้นยากมาก  แต่ก็มีอีกหนึ่งที่ที่หากจะแลกเงินไทยกับเงินดองของเวียดนาม สามารถไปแลกได้ที่ร้านขายทองได้เลย ซึ่งก็สามารถแลกในอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่างกัน 
 
1 บาท สามารถแลกได้ 680 เวียดนามดอง (ค่าเงินืั้ได้ในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันออกไป)เมื่อแลกเป็นเงินเวียดนามแล้วอาจจะสับสนกับตัวเลขเล็กน้อย เพราะจำนวนเงินของเวียดนามนั้นค่อนข้างมาก ควรจะแลกไว้ซื้อของเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น แต่ถ้าหากต้องใช้เงินจำนวนมาก ใช้เงินสกุลดอลล่าสหรัฐจะมีความสะดวกมากกว่า และควรจะมีจำนวนธนบัตรไว้หลายๆ จำนวน  เพื่อความรวดเร็วในการทอนเงิน
 

ขนมปังเวียดนาม



 

คำน่าสนใจ "Bánh mì"
อ่านว่า "บั๊น หมี่ขอแปลว่า "แฮมเบอร์เก้อเวียตนาม"
เป็นอาหารพื้นพื้นที่หากินได้ง่าย และราคาถูก สาระพัดที่จะเลือกใส่ ไม่ว่าจะเป็นหมูยอ,เนื้อหมู,เนื้อวัว หรือปลากระป๋อง ใส่หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ เนย(=เบอ) ซีอิ้ว พริกน้ำส้ม เลือกราคาก็ได้ ตั้งแต่ ประมาณ 7 บาทขึ้นไป นิยมกันในหมู่คนรายได้น้อย เก็บกินได้นาน ขนมปังจะแข็งโป๊กเลยเป็น fast food กินตอนเช้าตอนทำมาร้อนๆจะอร่อยมากจะเรียกว่าแฮมเบอร์เก้อเวียตนาม ก็ว่าได้ คนขายจะปั่นจักรยานตอนเช้าและมีคำร้องๆที่ ผมเคยได้ยิน ว่า"บั๊น หมี่ ไซ่ก่อน หมกแหง่ง หมก อ๋อ บั๊น หมี่ ไซ่ก่อน ดัก หรวด เทิม เบอ" ความหมาย คงประมาณว่าราคาถูก กินแล้วอิ่มท้อง
ข้อมูลจากhttp://members.thai.net/VIET/

12 ราศีแบบ เวียดนาม
เมื่อพูดถึงสิบสองราศีแบบเวียตนาม โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าวัฒนธรรมโดยรวมของเวียตนาม จะคล้ายคลึงของจีน การนับปีตามปฏิทินก็เช่นกัน ชาวเวียตนามส่วนมากทั้งที่อาศัยในประเทศและต่างประเทศ จะยึดเอาระยะเวลาการโคจรของดวงจันทร์(mặt trăng=หมัด จรัง)หรือระบบจันทรคติ เพื่อใช้ดูช่วงระยะเวลาและวันต่างๆ ตามประเพณี เทศกาล ดูฤกษ์งามยามดี และวันจัดงานศิริมงคลต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงระยะเวลางานเฉลิมฉลองวันปีใหม่เวียตนาม(Tết=เต๊ด) ซึ่งแต่ละปีมีวันและช่วงเวลาไม่ตรงกัน
ในปีหนึ่งนั้นการเริ่มต้นเปลี่ยนฤดู ก็คือช่วงที่ชั่วโมงกลางวันกลางคืนเท่ากัน(ช่วงที่พระอาทิตย์ห่างเส้นศูนย์สูตรมากที่สุด) ทางยุโรปก็ประมาณ 21 มี.ค. และ 23 ก.ย. ของทุกปี แต่ระยะเวลาดังกล่าวจะเป็นเวลากลางปีปฏิทินของเวียตนาม เพราะว่าการเริ่มต้นฤดูที่เร็วกว่ายุโรปล่วงหน้าไป 6 สัปดาห์ ตามความเชื่อของชาวเวียตนามนั้น ช่วงเวลาแต่ละปี จะแทนสัญลักษณ์แต่ละปี ด้วยสัตว์ต่างๆ 12 ชนิดหรือ 12 ราศี(hoàng đạo =ฮว่าง ด่าว) ด้วยกันซึ่งผมขอเอาของไทยเรามาเทียบกันแล้วเป็นดังนี้
ราศีเวียตนามราศีไทย
หนู(=กอน จวด)หนู(ชวด)
วัว(=กอน บ่อ)หรือควาย(=กอน เจา)วัว(ฉลู)
เสือ(=กอน กอบ)เสือ(ขาล)
แมว(กอน แมว),กระต่าย(เถาะ)
มังกร(=กอน หร่อม)มังกร(งูใหญ่)
งู(=กอน รั้ง),งู(งูเล็ก)
ม้า(=กอน เง่อ)ม้า(มะเมีย)
แพะ(=กอน เย่)หรือแกะ(=กอน กื่อ)แพะ(มะแม)
ลิง(=กอน คี้)ลิง(วอก)
ไก่(=กอน ก่า),ไก่(ระกา)
หมา(=กอน จ้อ)หมา(จอ)
หมู(=กอน แฮ-ว)หมู(กุน)
เรียกได้ว่ามีความคล้ายคลึงกันทีเดียวแต่ต่างกันตรงที่ทางเวียตนามจะมี ปีแมว ส่วนไทยเราจะเป็นปีเถาะ เท่านั้นเอง ว่าไปก็แปลกดี จริงแล้วสัตว์ทั้งหมด มีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นสัตว์ในตำนาน คือมังกร ส่วนอีกสี่ชนิด อาทิ หนู เสือ งู ลิง เป็นสัตว์ป่าไม่ได้เข้ามาข้องเกี่ยวกับคน ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดชนิดนั้นเป็นสัตว์ที่ถูกคนนำมาเลี้ยงไว้ ในแต่ละหนึ่งราศี จะวนครบรอบทุกๆ 12 ปี เช่น ปีมังกร จะเป็นปี คศ.1976,1988,2000,2012 เป็นต้น
ถึงกระนั้นก็ตาม ชาวเวียตนามยังต้องมีธาตุประจำในกลุ่มราศี โดยธาตุต่างๆจะมีหลักๆอยู่ห้าธาตุ(ไม้,ไฟ,ดิน,ทองและน้ำ) ซึ่งแต่ธาตุจะแยกย่อยออกเป็นส่วนที่ดีและร้าย(หยิน-หยาง) แบ่งเป็นสิบส่วน(2X5=10)
ดังนั้นกลุ่มราศีจึง มีรอบปี โดยเอาธาตุหลักมาประกอบกัน และราศีแต่ละปี จะมีธาตุที่เปลี่ยนแปลงแต่ละปีเช่นกัน เมื่อครบรอบราศี(5X12=60) จึงเท่ากับ 60 ปี ซึ่งจะวนมาเริ่มราศีที่ตั้งต้นใหม่ตัวอย่าง เช่น ถ้าเริ่มราศีหนู ก็จะมีห้าธาตุโดยเริ่มจากธาตุไม้ก่อน รอบต่อไปของปีต่อไปราศีควาย....จนถึงราศีหมู พอวนกลับมาราศีหนู แต่ทีนี้เป็นราศีหนูธาตุไฟ ตามที่ท่านเคยได้ยินว่าปีมังกรทอง ก็คือกันกับของชาวจีนครับ(ถ้าใครได้อ่านตำราพรหมชาติของไทยก็คงจะเห็นว่าธาตุของไทยก็มีเช่นกัน ถ้าจำไม่ผิด ก็มี หนูน้ำ หนูไม้ หนูไฟ...เรียงกันไป ตามช่วงเดือน ต่างจากชาวเวียตที่จะเป็นช่วงปี) วนไปเช่นนี้ จบครบรอบ 60 ปี นับว่าแปลกดี อีกทั้งยังมีการแบ่งราศีไปในชั่วโมงวันโดยแบ่งราศีละสองชั่วโมงในแต่ละวัน และมีเกี่ยวข้องกับโชคชะตาชีวิตของคนเรา...เล่ามาไกลแล้ว สำหรับความเชื่อโชคชะตานั้น ชาวเอเชียเราจะคล้ายๆกันในเรื่องการทำนายทายทัก เหมือนอย่างที่เราเคยได้ยินคนว่า เรื่องดวงว่าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ โดยผมหวังว่าจะหาโอกาสมาเล่าคราวต่อไปว่าชาวเวียตนามเขามีคำทำนายเกี่ยวกับราศีอุปนิสัยของคนในตามวันอย่างไร วันนี้เพียงพอแล้วขอราตรีสวัสดิ์ก่อน ครับ
ข้อมูลจาก http://members.thai.net/VIET/


  ตัวอย่าง ประโยค ภาษาเวียดนาม แบบง่าย ๆ

ยินดีต้อนรับ 
Hoan nghênh / Được tiếp đãi ân cần 
( ฮวาน เงง / เดือก เตี๊ยบ ดะอ๋าย เอิน เกิ่น )

สวัสดีครับ/ค่ะ 
Xin chào . ( ซิน ฉ่าว ) 
Chào anh . (เมื่อพูดกับผู้ชาย) 
( ฉ่าว แอง )
Chào chị . (เมื่อพูดกับผู้หญิง) 
( ฉ่าว ฉิ )
Anh (pron.) = พี่ชาย
Chị (pron.) = พี่สาว

ฮัลโหล ! (พูดตอนโทรศัพท์) 
Á-lô ! ( อาโล ) 

สบายดีหรือเปล่า ? 
(Anh/Chị) có khỏe không ? 
( แอง/ฉิ ก๊อ แขว๋ คม )
Khỏe (adj.) = สบายดี ไม่เจ็บไม่ป่วย
Không = ไม่ หรือไม่


ผม/ฉัน สบายดี ขอบใจ แล้วคุณล่ะ ? Cám ơn = ขอบใจ ขอบคุณ
Tôi Khoẻ, cám ơn. Bạn thì sao ? 
( โตย แขว๋ , ก๊าม เอิน ,บั่น ถี่ ซาว )
Tôi = ฉัน ผม ดิฉัน
Bạn = เพื่อน ; คุณ

ไม่ได้เจอกันนานแล้วสินะ 
Lâu quá không gặp anh / chị . 
( เลิว กว๊า คม กับ แอ็งห์ / ฉิ )
Lâu = นาน
Gặp = พบ เจอ

คุณชื่ออะไรครับ/คะ? 
Bạn tên là gì? / ( บั่น เตน หล่า สี่ )
Anh tên là gì? ( แอง เตน หล่า สี่ )
Tên = ชื่อ(n.) มีชื่อว่า (v.) 

ผมชื่อ...... 
Tôi tên là ....... 
( โตย เตน หล่า ....... )

คุณมาจากที่ไหนครับ/คะ? 
Ông từ đâu đến? 
( โอม ตื่อ เดิว เด๊น ) 
Ông = คุณ ; ลุง น้าชาย 
Từ = จาก
Đâu = ไหน ที่ไหน
Đến = มา ; ถึง 

ผม/ฉันมาจาก...... 
Tôi đến từ... 
( โตย เด๊น ตื่อ.... )

ดีใจมากที่ได้พบกับคุณ 
Rất hân hạnh được gặp ông . 
( เซิ๊ด เฮิน แห่งห์ เดือก กับ โอม ) 
Hân hạnh = เป็นเกียรติ
Được = ได้ (ทำ)ได้

ราตรีสวัสดิ์ 
Chúc ngủ ngon (Lit.ขอให้นอนอร่อย) 
( ชุ๊ก หงู่ งอน ) 
Chúc = อวยพร
Ngủ = นอน
Ngon = อร่อย

ลาก่อน 
Tạm biệt
( ตั่ม เบียด )
Tạm = ชั่วคราว
Biệt = แยกกัน

เจอกันใหม่
Hẹn gặp lại
( แห่ง กับ ไหล่ )
Hẹn = นัด มีนัด
Lại = อีก

ขอให้โชคดี 
Chúc anh/chị may mắn ! 
( ชุ๊ก ไม หมัน )
May mắn = โชคดี

ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง 
Chúc sức khoẻ! 
Sức = สุขภาพ

ขอให้เดินทางปลอดภัย ! 
Lên đường bình an . 
( เลน เดื่อง บิ่ง อาน )
Lên - ขึ้น
Đường = ถนน หนทาง
Bình an = ปลอดภัย สันติภาพ

I don't understand . 
Tôi không hiểu .
( โตย โคม เหี่ยว )
Hiểu = เข้าใจ

ช่วยพูดช้าๆหน่อยครับ/ค่ะ ! 
Làm ơn nói chậm hơn 
( หล่าม เอิน น้อย เฉิ่ม เฮิน )
Làm ơn = กรุณา ช่วย
Nòi = พูด
Chậm = ช้า
Hơn = กว่า
ตัวอย่าง ประโยค ภาษาเวียดนาม แบบง่าย ๆ (ต่อ)


Do you speak Vietnamese? 
Bạn có nói tiếng Việt không? 
( บั่น ก๊อ น๊อย เตียง เหวียด คง )

Yes, a little 
Có, chỉ một chút 

ผม/ฉันขอโทษ 
Xin lỗi 
( ซิน โหละโอ๊ย )

ราคาเท่าไหร่ ? 
Bao nhiêu tiền ? 
( บาว เญียว เตี่ยน )
Giá bao nhiêu ? 
( ซ๊า บาว เญียว )
Bao nhiêu = เท่าไหร่
Tiền = เงิน
Giá = ราคา

ขอบใจ ขอบคุณ ขอบคุณมาก 
Cảm ơn anh/chị 
Cảm ơn anh/chị nhiều 
Cảm ơn rất nhiều 

ไม่เป็นไร 
Không có chi 
( โคม ก๊อ ชี )
Không có gì 
( โคม ก๊อ สี่ )

ห้องน้ำอยู่ที่ไหนครับ/คะ? 
Vệ sinh ở đâu? 
(เหวะ ซิง เอ๋อ เดิว )

ฉันรักเธอ 
Anh yêu em ( ผู้ชายบอกรักผู้หญิง ) 
( แอง เอียว แอม )
Em yêu anh ( ผู้หญิงบอกรักผู้ชาย )) 
( แอง เอียว แอม )
Yêu = รัก
Em = น้อง ( น้องสาว น้องชาย )

How do you say ... in Vietnamese ? 
Bạn nói ... thế nào trong tiếng Việt? 
( บั่น น๊อย ...เท๊ หน่าว จอง เตี๊ยง เหวียด )

เรียกตำรวจให้( หน่อยครับ/ค่ะ ) ! 
Xin gọi cảnh sát! 
( ซิง หง่อย แก๋ง ซ้าด )

Merry Christmas 
Chúc Giáng Sinh Vui Vẻ 
( ชุ๊ก เซี๊ยง ซิง วูย แว๋ ) 

สวัสดีปีใหม่ 
Chúc Năm Mới Tốt Lành 
( ชุ๊ก นัม เม๊ย โต๊ด แหล่ง )

Happy Easter 
Chúc Mừng Phục Sinh 
( ชุ๊ก หมึ่ง ฝุก ซิง )

สุขสันต์วันเกิด 
Chúc mừng sinh nhật 
( ชุ๊ก หมึ่ง ซิง เหญิด )

หนึ่งภาษาไม่เพียงพอ 
Một thứ tiếng thì không bao giờ đủ
( หมด ทื๊อ เตี๊ยง โคม บาว เส่อ ดู๋ ) 


ตัวอย่างการทักทายเป็นภาษาเวียดนาม


 Chào hi     จ่าว   ฮ่อย      การทักทายทั่ว ๆ ไป


Malee:  Chào anh!     จ่าว   แองค์      สวัสดีค่ะ พี่ชาย

            
Prasit:   Chào chi!         จ่าว   จิ         สวัสดีครับ  พี่สาว


Malee:  Anh có khe không? 

  แองค์  ก๋อ  แคว่  คง   พี่ชาย สบายดีไหมค่ะ?

Prasit:  Cm n ch, ch có khe không? 

ก๋าม  เอิน  จิ. จิ  ก๋อ  แค่ว  คง ?  ขอบคุณครับพี่สาว. แล้วพี่สาว สบายดีไหมครับ?


Malee:  Cm n anh, tôi binh thường 

 ก๋าม   เอิน   แองค์. โตย บิ่น  เทื่อง        ขอบคุณค่ะพี่ชาย. ดิฉัน สบายดีค่ะ
       

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

แนะนำสถานที่ ซื้อของฝากที่ ฮานอย เวียดนาม

ตลาดกลางคืน 
CHỢ ĐÊM

สินค้าตลาดกลางคืน..ฮานอย
ในตลาดกลางคืนที่ ฮานอย จะเป็นตลาดที่เขาจะปิดถนนให้พ่อค้า แม่ค้ามาเปิดร้านขายสิยค้ากัน สินค้าโดยทั่วไปก็จะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า แฟชั่น เหมือนๆ บ้านเรา แต่จะมีสินค้าที่บ่งบอก ถึงความเป็น เวียดนาม เช่น พวก สินค้าแกะสลักต่างๆ ดังในรูป












สวยๆ กันทั้งนั้น แต่ในด้านของราคา ขอบอกเลยว่า แต่ละคนจะซื้อได้ในราคาที่ไม่เท่ากัน ค่ะ

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555




คำศัพท์เกี่ยวกับร้านอาหารแบบง่าย ๆ



                Thực đơn         ถึก เดิน              เมนูอาหาร  

                  Món                 หมอน                ชนิดของอาหาร    
         
                  Đặc sản           ดัก ส่าน             อาหารจานเด็ด 

                  Ăn                    อัน                    กิน

                  Uống                อ๋วง                   ดื่ม

                  Phở                  เฝ๋อ                  ก๋วยเตี๋ยว

                  Cơm                 เกิม                   ข้าวสวย

                  Cô ca                โก กา                โค้ก
                 
                  Nước khoáng    เนื๊อก ขวาง         น้ำเปล่า
                 
                  Cơm xào           เกิม ส่าว             ข้าวผัด
                 
                  Nước cam        เนื๊อก กาม            น้ำส้ม

                  Rau                  เซา                     ผัก
                 
                  Cốc                  โก๊ก                     แก้ว

                  Giá                   สา                       ราคา
                  
                  Đĩa                   เดี๊ย                      จาน

                 Tôm                  โตม                      กุ้ง
                 
                 cá                      ก๋า                       ปลา

                 Nước mắm        เนื๊อก มั๋๋ม              น้ำปลา 
                 
                 Thịt lớn             ถิต เลิ๋น                เนื้อหมู

                 Thịt bó              ถิต บ่อ                  เนื้อวัว
             
                 Đường             เดื่อง                     น้ำตาล





                                     
                                      

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักอาหารขึ้นชื่อที่ฮานอย บู๋น จ่า


เนื้อย่างเป็นส่วนผสมหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของอาหารที่ชื่อว่า บู๋น จ่า


บู่น (ขนมจีนบ้านเรา) 


ผัก และน้ำซุบที่มีส่วนประกอบคือ เนื้อย่าง 


การรับประทาน 
ใช้ขนมจีนกับผักจิ้มเทลงไปในน้ำซุบ แล้วก็ทานเลยจ้า 

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555


'เปิบหมา'อาหารเหลาชาวเวียดนาม

'เปิบหมา' อาหารเหลา-เสริมดวง-ฟื้นไข้ ย้อนรอยวัฒนธรรมการกินผ่าน 'ยลญวน'


เกิดเสียงวิพากษ์หลากหลายแง่มุมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ภายหลังเจ้าหน้าที่จับกุมขบวนการค้าสุนัขข้ามชาติพร้อมทั้งยึดของกลางร่วม 2,000 ตัว พฤติกรรมของผู้ต้องหากลุ่มนี้จะออกตระเวนซื้อ แลก และลักสุนัขจากพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะในภาคอีสาน จากนั้นจับยัดใส่กรงลำเลียงทางรถยนต์ไปยังพื้นที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม ขนสุนัขลงเรือหางยาวข้ามแม่น้ำโขงขึ้นฝั่งที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (ส.ป.ป.ลาว) ก่อนรถบรรทุกส่งต่อไปยังเมืองหลักซาว แขวงบอริคำไซมา ส.ป.ป.ลาว กระทั่งถึงด่านกาวแจว ของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

 

 
พฤติกรรมการบริโภคเนื้อสุนัข หรือเนื้อหมา ของประเทศเพื่อนบ้านนี้ ท่านทูตพิษณุ จันทร์วิทัน ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ในช่วงที่ปฏิบัติหน้าที่เอกราชทูตไทยประจำกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อปี 2552-2553 ในพล็อตเก็ตบุ๊กชื่อ "ยลญวณ" ตอน .."เปิดพิสดารในเวียดนาม" สะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของชาวเวียดนามได้อย่างลึกซึ้งทีเดียว
ท่านทูตพิษณุ เริ่มต้นด้วยประโยคตรงประเด็นว่า ที่เป็นเรื่องพูดกันมากอีกเรื่องหนึ่งคือ การรับประทานสุนัข หรือพูดง่ายๆ ว่า "คนเวียดนามกินเนื้อหมานั่นเอง"
คนไทยเราและต่างชาติอื่นๆ พอพูดถึงเรื่องคนเวียดนามกินหมาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจ เพื่อนผมหลายคนไปเที่ยวฮานอยเห็นเขาเอาสุนัขที่ย่างแล้วใส่ท้ายรถจักรยานยนต์บนถนนก็ทำท่าแปลกๆ ซึ่งเข้าใจได้ว่าเพราะคนไทยไม่นิยมรับประทานเนื้อหมา เพราะมันเป็นสัตว์ใกล้ชิดและเป็นมิตรที่ดีของคน เราถือว่าเป็นสัตว์เลี้ยง
ทว่าคนเวียดนามมีข้อโต้แย้งว่า การรับประทานเนื้อสัตว์ชนิดใด เป็นความเชื่อความนิยมของชาตินั้น จะมาเอามาตรฐานความเชื่อของชาติหนึ่งไปใช้กับอีกชาติหนึ่งไม่น่าจะถูกต้อง ดูอย่างคนยุโรป เลี้ยงม้า รักม้า ขี่ม้าด้วยซ้ำ ก็เห็นกินเนื้อม้ากันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครวิจารณ์ อย่างกระต่าย คนเอเชียจำนวนมากถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก แต่ฝรั่งก็เอามาทำอาหารหน้าตาเฉย
ที่มากกว่านั้นคือ เนื้อหมายังเป็นที่นิยมในหลายประเทศ เช่น จีน เกาหลี แม้แต่คนยุโรปโบราณ
การกินเนื้อหมาของเวียดนามมีเรื่องน่าสนใจที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้ อย่างแรก คนเวียดนามไม่ได้รับประทานเนื้อหมาทุกคน และไม่ได้มีขายทั่วไป เป็นความนิยมเฉพาะกลุ่มอาจไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ ตามวัดในเวียดนามเขาก็ไม่ได้เอาเข้าไปรับประทาน
"เพื่อนคนไทยบางคน ผมพาไปรับประทานอาหารตามร้าน ชอบถามกันว่า แน่ใจนะว่าไม่ใช่เนื้อหมา ผมต้องตอบว่าไม่ต้องกลัว ไม่ใช่เนื้อหมาแน่ ตอบแบบนี้บางคนยังไม่ไว้ใจ กลัวว่าแม้เราจะไม่ได้สั่ง ก็อาจทำมาผิด แบบว่าสั่งเนื้อหมูแล้วคนครัวทำเนื้อหมามาให้ นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ พอๆ กับการไปสั่งเนื้อย่างจิ้มแจ่วในร้านอาหารอีสานแถวสนามมวยราชดำเนิน แล้วเกิดวิตกกังวลว่าคนครัวจะเอานิวยอร์กคัทสเต๊ก หรือริบอายนำเข้าจากออสเตรเลียมาย่างให้กิน"
ท่านทูตพิษณุอธิบายว่า เนื้อหมาถือเป็นของพิเศษ เป็นอาหารชั้นดี ราคาเนื้อหมาแพงกว่าเนื้อหมูเกือบ 2 เท่าตัว มีขายในร้านโดยเฉพาะเท่านั้น ฉะนั้นถ้าไปเที่ยวที่ฮานอยโปรดทำใจให้สบาย อย่ากังวลว่าจะได้รับประทานเนื้อหมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
"ถ้าไปรับประทานอาหารตามร้านกับชาวเวียดนาม อย่าถามแบบที่เล่าไปแล้ว เพราะจะเป็นเรื่องตลกโดยไม่ได้ตั้งใจ ถ้ายังนึกภาพไม่ออกว่าตลกยังไง ลองสมมติว่าเราไปกินกระเพาะปลาตามร้านแถวเยาวราช พออาเฮียคนขายยกจานกระเพาะปลามาวางบนโต๊ะ เราก็ถามว่านี่กระเพาะปลา ไม่ใช่หูฉลามแน่นะ ประมาณนั้น"
คนรับประทานเนื้อหมาที่เวียดนามเขาถือว่า ถ้าดวงไม่ค่อยดี ทำการค้าถ้าติดๆ ขัดๆ ต้องแก้ด้วยการกินเนื้อหมา และกินเฉพาะข้างแรมเท่านั้น ส่วนข้างขึ้นห้ามเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะยิ่งโชคร้ายไปกันใหญ่ ยิ่งช่วงระหว่างวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 3 ค่ำ ยิ่งร้ายหนักเข้าไปใหญ่ ดังนั้นร้านขายเนื้อหมาส่วนมากจึงเปิดเฉพาะวันข้างแรมเท่านั้น นี่ผมไม่รวมพวกตามบ้านนอกที่ขายพวกคอเหล้าที่กินกันไม่เลือกมื้อเลือกวัน ดังนั้นพวกทำธุรกิจการค้าที่ต้องการความเฮงเขาก็ถือว่ากินเนื้อหมาแล้วโชคดี
คนเวียดนามเชื่อด้วยว่า เนื้อหมามีโปรตีนสูงกว่าเนื้อสัตว์อื่นๆ ดังนั้นคนที่เจ็บป่วย หรือผ่าตัด ในระยะพักฟื้นร่างกาย แพทย์ชาวเวียดนามจะแนะนำให้ไปซื้อเนื้อหมามารับประทาน ร้านที่ขายเนื้อหมาที่ฮานอยมีอยู่หลายร้าน อยู่ย่านถนนงี ต่าม และบริเวณใต้สะพานลอง เบียน หน้ารานจะเขียนว่า "ถิด จ๋อ" แปลว่า "เนื้อหมา" แต่เมื่อนำมาประกอบอาหารในร้านอาหารชั้นดีเขาจะเขียนว่า "ถิด เก่ย" แปลว่า "เนื้อสุนัข" ฟังดูดีกว่าเล็กน้อย หลักๆ นิยมปรุง 7 เมนู คือ ไส้กรอก ต้มเค็ม ย่าง ต้ม ต้มซุป ผัด และลาบเลือด
ในช่วงหนึ่งท่านทูตพิษณุยกคำกล่าวของล่ามชื่อ "ดาว วัน เติม" หยิบยกสำนวนชาวญวนโบราณมาเล่าว่า...
"โอ้ว่าเกิดมาชาติหนึ่งเล่า
ถ้าตายเปล่าคิดไปแล้วใจหาย
หากปลดปลงนรกจะเสียดาย
ไส้กรอกหมาเป็นอย่างไรไม่เคยลอง"

ทั้งนี้ผู้เขียนยังเล่าประสบการณ์เปิบพิสดารยาดองสมุนไพรและสัตว์แปลกๆ อย่าง "งู" รวมทั้งอาหารพื้นเมืองอีกหลากหลายเมนู
นี่เป็นเพียงเนื้อหาบางส่วนใน "ยลญวณ" จัดพิมพ์โดย "คม ชัด ลึก" บันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เวียดนาม รวมทั้งการแข่งขันทางการค้าในฐานะกลุ่มประเทศอาเซียน เชื่อว่าเมื่ออ่านถึงหน้าสุดท้ายอาจทำให้เราเข้าใจเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้น


สัมผัสชนบทเวียดนาม
ห่างจากกรุงฮานอยแค่ 60-80 กิโลเมตร แต่ชีวิตของชาวบ้านมีความแตกต่างจากคนเมืองกรุงอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละบ้านจะมีพัดลม2-3 ตัว ทีวี1เครื่อง ไม่มีตู้เย็นสักบ้าน พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาทั้งหมด ไม่มีน้ำปะปาใช้ชาวบ้านที่พอมีตังค์หน่อยจะขุดบ่อน้ำบาดาลใช้ บ้านใหนมีตังค์น้อยต้องไปหาบน้ำซึ่งอาจห่างไกลเป็นกิโลเพื่อนำมาใช้อย่างประหยัด อาหารส่วนมากจะเป็นพวกผักเป็นเสียส่วนมากเพราะเนื้อสัตว์ราคาแพงมาก(เท่า ๆ กับไทยแต่ในบ้านเขาถือว่าแพงมาก) อาหารยอดนิยมที่ขายดิบขายดีในชนบทคือ "หมี่โตม" ซึ่งก็คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยนั่นแหละ ซองหนึ่งประมาณ 4000 ดอง หรือ ประมาณ 7-8 บาทไทย โดยชาวบ้านจะนำมาหุงกับผัก(อาจใส่เนื้อด้วย) เป็นอาหารกินกับข้าวซองเดียวกินกันทั้งบ้าน ระดับความเผ็ดของอาหารที่ชาวเวียดนามกินคือแค่พริกไทยก็เผ็ดมากแล้ว แค่บะหมี่สำเร็จรูปเผ็ดเล็กน้อยก็อาจทำให้เด็ก ๆ กินกันไม่ได้เลยทีเดียว

อาชีพหลักของชาวบ้านคือการทำนาในพื้นที่ราบในทุกที่ ที่เป็นที่ราบ ซึ่งน้ำในการเกษตรในเวียดนามอุดมสมบูรณ์มาก ถ้าฝนไม่แล้งอาจทำนาได้ถึง 3 ครั้งต่อปีเลยทีเดียว ทางการของเวียดนามจัดระบบการส่งน้ำในการเกษตรในเวียดนามได้ดีมาก ไฟฟ้าในเขตชนบทเวียดนามดับบ่อยมาก บางครั้งอาจดับถึง 2-3 วันก็มี ซึ่งแล้วแต่หลวงท่านจะปล่อยไฟมาให้ใช้ ไม่มีใครกล้าโวยวายเรื่องไฟฟ้าเพราะกลัวว่าหลวงท่านไม่ให้ไฟฟ้าใช้อีก ชาวบ้านในทุกบ้านจึงต้องมีตะเกียงกันทุกบ้าน เพื่อให้แสงสว่างในเวลาค่ำคืนในช่วงเวลาดับ ความหวังในแต่ละบ้านคือมีบ้านปูนดี ๆ ไว้อยู่อาศัยแทนบ้านกระต๊อบเก่า ๆ ที่ฉาบด้วยดิน และมีบ่อน้ำบาดาลไว้ใช้เองในทุกบ้าน
โรงเลี้ยงเป็ดไก่และโรงเก็บฟืน

กระต๊อบอาศัยนอนสำหรับผู้ยังไม่มีบ้านปูน

บ้านปูนที่เป็นที่ใฝ่ฝันอยากจะมีสักหลังของชาวชนบท ในภาพผู้เขียนได้นำจาน KU ไปทดสอบติดตั้งเพื่อเป็นของกำนัลให้บ้านที่อาศัย

การลงแขกทำนาปลูกข้าว

เกวียนเทียมควายของชาวเวียดนาม



ในประเทศเวียดนามเมื่อมีคนต่างถิ่นไม่ว่าใครถึงแม้จะเป็นคนเวียดนามเองเข้าในหมู่บ้านเมื่อมีการค้างคืนจะต้องมีการแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านหรือตำรวจในหมู่บ้าน เราเองก็ต้องไปแจ้งด้วยเพื่อขอไปค้างคืนในหมู่บ้าน คาดว่าคงเป็นการป้องกันการรวมตัวรวมกลุ่มในการปลุกระดมแอนตี้กับรัฐบาล คนที่รับราชการที่มีอำนาจมากในแต่ละแห่งคือ ตำรวจ ซึ่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายชาวบ้านเลยทีเดียว ชาวบ้านในเวียดนามจึงต่างก็กลัวตำรวจกันเป็นอย่างมาก

สำหรับภาษาที่ใช้ในเวียดนามจะมีหลายร้อยหลายพันสำเนียงแต่มีตัวหนังสือแบบเดียว ในเวียดนามจะไม่มีภาษากลางให้ใช้ ใครสามารถฟังสำเนียงต่างถิ่นได้ก็ดีไปใครฟังไม่ออกก็จำเป็นต้องยอมเขียนหนังสือกันเอาเอง แต่เพราะชาวชนบทเวียดนามไม่ค่อยออกจากถิ่นจึงไม่ค่อยติดต่อกับต่างถิ่นเท่าไรจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ แต่สิ่งที่รู้แน่ ๆ คือภาษาทางฮานอยและไซ่ง่อน(โฮจิมินท์) เพราะส่งสัญญาณโทรทัศน์ให้รับชมกัน ซึ่งทั้งสองภาษานี้ถ้าไม่ใช่คนเวียดนามคงนึกว่าเป็นคนละภาษากันแน่ แต่ชาวเวียดนามก็เข้าใจกันได้

สำหรับศาสนาของชาวเวียดนามที่ผมเห็นจะมีเพียงศาสนาคริตส์ และ บรรพบุรุษเท่านั้น สำหรับศาสนาคริตส์จะมีเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แต่ตามชนบทจะเป็นการนับถือบรรพบุรุษแทน ในชนบทจึงไม่มีวัดใด ๆ อยู่เลย เมื่อมีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตจะนำศพไปฝังในทุ่งนาตามซินแสดูฮวงจุ้ยแนะนำ เราจึงเห็นทุ่งนาในประเทศเวียดนามมีหลุมศพกันกลางทุ่งอยู่มากมาย ในแต่ละบ้านจะมีหิ้งใหญ่ที่เหมือนหิ้งพระของไทยเราแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ากันมาก จะเป็นการกราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับแทน
ท้องทุ่งนาที่เต็มไปด้วยสุสาน

หิ้งบูชาบรรพบุรุษชาวเวียดนาม


สำหรับเครื่องใช้ต่าง ๆ ชาวเวียดนามเจอสินค้าแย่ ๆ จากจีนจนชินตา สินค้าราคาไม่แพงจากไทยจึงเป็นสิ่งที่ต้องการกันมากเพราะคุณภาพดีกว่าของจีนเป็นเท่าตัว เราจึงเห็นสินค้าหลายอย่างที่ทำเป็นสินค้าปลอมโดยการพิมพ์ตัวหนังสือไทยขายกันดาษดื่น(แค่ทำให้เป็นภาษาไทยแต่คนไทยอ่านแทบไม่ออก) สำหรับสินค้าในประเทศเวียดนามที่วางขายทั้งหมดเกือบทุกอย่างต้องพิมพ์เป็นภาษาเวียดนาม เขาถึงซื้อกัน เพราะชาวเวียดนามอ่านได้แค่ภาษาเดียวคือเวียดนาม ยกเว้นเครื่องดื่มยอดนิยมจากไทยเพียงตัวเดียวที่เห็นขายกันคือ กระทิงแดงกระป๋อง ชาวเวียดนามนิยมดื่มกันมากราคาขายคือ 10000 ดอง หรือประมาณ 20 บาท
ตัวอย่างไฟแช็คที่ทำตัวหนังสือไทยขาย


บริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำการลงทุนในเวียดนามส่วนมากจะเป็นจีน เกาหลี และประเทศทางยุโป ส่วนไทยผมเห็นแค่ของ เครือเจริญโภคภัณท์(ซีพี)เจ้าเดียว(ใหญ่มาก) ลงทุนเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรและอาหารสัตว์ ไก่ ประมาณนี้ พอดีขี่รถโดยสารจับภาพมาให้ดูไม่ทัน

การเกษตรกรรม
อาชีพหลักของชาวเวียดนามค่อนประเทศคือการทำนาปลูกข้าว และการปลูกพืชผลการเกษตร เช่นอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และไม้ยืนต้นเพื่อแปรรูปในการทำไม้ มีการเลี้ยงเป็ด-ไก่กันทุกครัวเรือน ในการทำนาชาวบ้านจะร่วมมือกันเพื่อดำนาปลูกข้าว-เกี่ยวข้าวกัน โดยผลผลิตที่ได้จะส่งให้รัฐบาลขายในพันธ์ข้าวที่ดี ๆ แล้วเก็บไว้กินเองในส่วนของข้าวที่ไม่มีคุณภาพ ประเภทข้าวหักข้าวเม็ดเล็ก ๆ เป็นต้น โดยคุณภาพของข้าว ชาวบ้านก็รู้ดีว่าพันธุ์ข้าวของเวียดนามยังสู้ไทยไม่ได้ ข้าวไทยมีราคาแพงมากในประเทศเวียดนามต้องประเภทรวย ๆ จึงจะมีสิทธิ์ซื้อมากินกัน
ทุ่งนาที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา


ข้าวเปลือกของเวียดนาม

ข้าวสารที่ชาวบ้านใช้หุงกิน


ชาวบ้านในเวียดนามนิยมกินเบียร์กันมาก (ลิตรละประมาณ 8000ดอง หรือประมาณ 15-16บาท) แม้แต่เด็กอายุ 2-3 ขวบ เขาก็ให้กินกันแล้ว ส่วนในวัยทำงานถ้าออกจากโรงเรียนมาทำงานกันแล้ว(ประมาณอายุ15-16) ก็สามารถดูดบุหรี่กันได้แล้ว บุหรี่ในประเทศเวียดนามราคาถูกมาก(ซองละ 4000ดอง หรือประมาณ 7-8 บาท) คนเวียดนามจึงมีการสูบบุหรี่กันมากเห็น 100 คนสูบบุหรี่เป็นเสีย 99 คนแล้ว สำหรับเหล้าขาวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเวียดนามชื่นชอบกันมาก ซื้อมากินกันทีเป็นลิตร ๆ

เมื่อเห็นวิถีชาวบ้านแล้วนึกถึงประเทศไทยขึ้นมาทันที ชาวนาไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าประเทศเวียดนามเป็นอย่างมากเพราะมี ของขวัญอันล้ำค่าที่"ในหลวง"ของเราพระราชทานให้คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ไว้กินเอง เหลือกินก็ค่อยนำไปขาย ทำให้ชาวบ้านอยู่อย่างอัตภาพไม่เดือดร้อน แต่ชาวบ้านในประเทศเวียดนาม ทำนาแล้วก็ปลูกแต่พืชผลการเกษตรเท่านั้น วันใหนราคาดีก็พอทน แต่วันใหนราคาตกก็คงจนกันทั้งชาติลืมตาอ้าปากไม่ได้ เพราะต้องหาซื้อทุกอย่างมากินกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในชาวบ้านวัยทำงานเมื่อชอบพอกันจะต้องมีการสู่ขอแต่งงานกัน โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้คือชุดแต่งงาน อย่างไรก็ต้องสวมให้ได้สักครั้ง จึงมีร้านให้เช่าชุดเจ้าบ่าว-เจ้าสาวมากมาย เพื่อให้หนุ่มสาวที่จะแต่งงานกันได้มีชุดวิวาห์ได้สวมใส่กันในวันแต่ง และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสาว ๆ คือชุดอ๋าวใหญ่ จะมีกันแทบทุกคนเพื่อใส่ในงานสังสรรค์ต่าง ๆ หรือใส่ไปยามไปเที่ยวก็ได้ ซึ่งเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่จะต้องมีชุดกิโมโน แต่มองของไทยแล้วชุดไทยจะใส่ในงานแต่ง หรือ งานพิธีรำประมาณนี้เท่านั้น อีกอย่างคือหมวกที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนามของผู้หญิงจะเรียกว่า "กุ๊ก" ของผู้ชายจะเป็นหมวกที่ท่านโฮจิมินท์เคยใส่ มีกันทุก ๆ บ้าน ใส่กันได้ทุกที่ทุกเวลา
ภาพหมวกผู้ชายที่นิยมใส่กันทุกบ้าน


โดยรวมแล้วชาวเวียดนามมีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนบ้านกันมาก บ้านใครลูกหลานใครห่างไกลกันเป็น 10 กิโลเมตรก็ยังรู้จักกันได้

การศึกษา
ในประเทศเวียดนาม ในทางชนบทส่วนมากจะมีการศึกษาแค่ประถม6แค่นั้น ภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึงเพราะโรงเรียนจะไม่บรรจุในบทเรียนบทสอนในโรงเรียน ถ้าต้องการเรียนรู้จะต้องเสียเงินไปเรียนเอง ชาวเวียดนามจึงไม่มีความรู้ในภาษาอังกฤษแม้แต่น้อย ทั้งที่การอ่านก็คล้าย ๆ กับภาษาเวียดนามแต่ชาวบ้านถ้าเห็นไม่เป็นภาษาเวียดนามชาวบ้านจะไม่สนใจเลย แต่เท่าที่สัมผัสกับคนเรียนภาษาอังกฤษในเวียดนาม จะอ่อนในเรื่องนี้มากเกือบทุกคน เพราะครูที่สอนเรื่องนี้อ่อนมาก สำเนียงภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้เลย(ออกแนว ๆ เสียงเวียดนาม)

นักเรียนในเวียดนามไม่มีแบบฟอร์มนักเรียน จึงแล้วแต่ว่าจะใส่ชุดอะไรไปโรงเรียน ในหนังสือบทเรียนของเวียดนาม ในแต่ระดับชั้น ทุก ๆ เล่มจะแทรก มหาวีระบุรุษที่ชาวเวียดนามนับถือกันคือ "โฮจิมินท์" ไว้ในบทเรียนอยู่เสมอ โดยทุกกิจกรรมของชาวบ้านจะมีการอ้างท่านโฮจิมินท์ เพื่อใ้ห้ชาวบ้านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เนื่องจากชาวบ้านทุกคนในประเทศเวียดนามได้รับการปลูกฝังเรื่อง โฮจิมินท์ และ ความรักชาติอย่างเข้มข้น การพูดดูถูกชาวบ้าน หรือ อะไรก็ตามชาวบ้านก็รับได้ แต่ถ้าไปดูถูก เรื่องโฮจิมินท์ เรื่องการรักชาติ หรือเรื่องประเทศชาติ ชาวเวียดนามได้เอาตายแน่....

นับเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรงที่ทางราชการกำหนดเครื่องหมายตัวเลขในบทเรียนบทสอน เช่น 10.3 หมายถึง 10คูณ3 10.000 หมายถึง 1 หมื่น
3,25 หมายถึง 3.25 (สามจุดสองห้า) ทำให้เครื่องคิดเลขใช้ในประเทศเวียดนามไม่ได้ (แต่เขาก็อยู่กันได้)

และสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมของชาวเวียดนามคือ การไร้ระเบียบวินัย ใครอยากทิ้งขยะตรงใหนก็ทิ้ง ใครอยากสูบบุหรี่ตรงใหนก็สูบไม่ว่าบนรถเมล์ รถแท็กซี่ ฯลฯ การติดต่อราชการต่าง ๆ ก็ไม่มีคิวรอใครมือยาวสาวได้สาวเอา เราจึงเห็นการยืนออกันที่ด้านหน้าเจ้าหน้าที่ที่ช่องต่าง ๆ เพื่อให้ธุระของตัวเองสำเร็จ

การจราจร
ในประเทศเวียดนามมีการขับรถที่เลนขวา ทำให้สับสนเล็กน้อยในการขับรถ ในประเทศเวียดนามมีถนนที่แคบมาก ขนาดประมาณพอให้สิบล้อสองคันสวนกันได้ มีการใช้ทั้งรถ จักรยาน มอร์เตอร์ไซด์ และรถยนต์ต่าง ๆ ในท้องถนน มีการขับรถแบบตามใจฉัน คือไร้วินัยกันมาก ขับช้า ๆ ก็พากันขับกันกลางถนน อยากเลี้ยวก็เลี้ยวกระทันหัน จึงมีอุบัติเหตุกันบ่อยมาก ทางการเลยรณรงค์ให้สวมหมวกนิรภัยและเคารพกฎจราจรกัน แต่ค่อนข้างจะไร้ผล
ป้ายรณรงค์ให้สวมหมวกนิรภัยและเคารพกฎจราจร

ภาพมอร์เตอร์ไซด์ในเวียดนามที่ทุกคันจะเป็นแบบสตาร์ทมือทั้งสิ้น ไม่ไม่มีคันใหนเลยที่สตาร์ทด้วยเท้าอย่างเดียว

ภาพรถม้าที่ยังพอมีให้เห็นประปลาย


มองดูรถในประเทศเวียดนามมีทุกประเภท แต่.... ให้ตายเถอะหารถปิคอัพไม่เจอเลยสักคัน ประเทศเวียดนามไม่มีรถปิคอัพแม้แต่คันเดียวจริง ๆ ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้านคือลาวมีรถปิคอัพมากกว่ารถเก๋งหลายเท่าตัว จึงมีแต่รถบรรทุก6ล้อเล็กแทน โดยตั้งแต่รถบรรทุกขึ้นไปทางเวียดนามกำหนดให้ต้องนำหมายเลขทะเบียนรถมาพิมพ์เพิ่มเติมที่ด้านข้างและด้านหลังรถเป็นตัวหนังสือตัวโต ๆ กันทุกคัน
รถบรรทุกที่ใช้แทนรถปิคอัพ


สำหรับสาว ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าผิวขาวนั้น เป็นอะไรที่กลัวแดดกันมาก ถ้าขี่จักรยานจะต้องมีร่ม1คันกางอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นการขับมอร์เตอร์ไซด์หญิงชาวเวียดนามมีความอึดสูงมาก หาเสื้อผ้าใส่ที่คลุมได้ทุกส่วนสัดของร่างกายร้อนไม่ว่าแต่อย่าให้ถูกแดดเป็นพอ
สาวๆเวียดนามขี่จักรยานกางร่มที่เห็นจนชินตาในเวียดนาม


สาวๆสวมเสื้อผ้ากันแดดแบบไม่กลัวร้อนในกรุงฮานอย


ในประเทศเวียดนาม ตำรวจจราจรจะไม่จับรถยนต์(รถเก๋ง) เพราะส่วนมากจะเป็นผู้มีอันจะกินหรือเจ้านาย(ข้าราชการ) จึงจับเฉพาะรถมอร์เตอร์ไซด์กันโดยจะต้องมีใบขับขี่ สวมหมวกนิรภัย และห้ามซ้อนสาม โดยถ้าใครถูกจับแล้วจะมีการปรับที่แรงมากคือ ปรับประมาณ 3-400 บาท(สำหรับเขาแพงมาก) แต่ที่แย่กว่านั้นคือการยึดรถ1เดือน มอร์เตอร์ไซด์ที่ทำผิดจึงทำทุกวิถีทางที่จะหนีการจับกุมให้ได้ จึงเห็นมีการล่าจับกุมกันเป็นประจำ