สัมผัสชนบทเวียดนาม
ห่างจากกรุงฮานอยแค่ 60-80 กิโลเมตร แต่ชีวิตของชาวบ้านมีความแตกต่างจากคนเมืองกรุงอย่างสิ้นเชิง ในแต่ละบ้านจะมีพัดลม2-3 ตัว ทีวี1เครื่อง ไม่มีตู้เย็นสักบ้าน พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาทั้งหมด ไม่มีน้ำปะปาใช้ชาวบ้านที่พอมีตังค์หน่อยจะขุดบ่อน้ำบาดาลใช้ บ้านใหนมีตังค์น้อยต้องไปหาบน้ำซึ่งอาจห่างไกลเป็นกิโลเพื่อนำมาใช้อย่างประหยัด อาหารส่วนมากจะเป็นพวกผักเป็นเสียส่วนมากเพราะเนื้อสัตว์ราคาแพงมาก(เท่า ๆ กับไทยแต่ในบ้านเขาถือว่าแพงมาก) อาหารยอดนิยมที่ขายดิบขายดีในชนบทคือ "หมี่โตม" ซึ่งก็คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในไทยนั่นแหละ ซองหนึ่งประมาณ 4000 ดอง หรือ ประมาณ 7-8 บาทไทย โดยชาวบ้านจะนำมาหุงกับผัก(อาจใส่เนื้อด้วย) เป็นอาหารกินกับข้าวซองเดียวกินกันทั้งบ้าน ระดับความเผ็ดของอาหารที่ชาวเวียดนามกินคือแค่พริกไทยก็เผ็ดมากแล้ว แค่บะหมี่สำเร็จรูปเผ็ดเล็กน้อยก็อาจทำให้เด็ก ๆ กินกันไม่ได้เลยทีเดียว
อาชีพหลักของชาวบ้านคือการทำนาในพื้นที่ราบในทุกที่ ที่เป็นที่ราบ ซึ่งน้ำในการเกษตรในเวียดนามอุดมสมบูรณ์มาก ถ้าฝนไม่แล้งอาจทำนาได้ถึง 3 ครั้งต่อปีเลยทีเดียว ทางการของเวียดนามจัดระบบการส่งน้ำในการเกษตรในเวียดนามได้ดีมาก ไฟฟ้าในเขตชนบทเวียดนามดับบ่อยมาก บางครั้งอาจดับถึง 2-3 วันก็มี ซึ่งแล้วแต่หลวงท่านจะปล่อยไฟมาให้ใช้ ไม่มีใครกล้าโวยวายเรื่องไฟฟ้าเพราะกลัวว่าหลวงท่านไม่ให้ไฟฟ้าใช้อีก ชาวบ้านในทุกบ้านจึงต้องมีตะเกียงกันทุกบ้าน เพื่อให้แสงสว่างในเวลาค่ำคืนในช่วงเวลาดับ ความหวังในแต่ละบ้านคือมีบ้านปูนดี ๆ ไว้อยู่อาศัยแทนบ้านกระต๊อบเก่า ๆ ที่ฉาบด้วยดิน และมีบ่อน้ำบาดาลไว้ใช้เองในทุกบ้าน
โรงเลี้ยงเป็ดไก่และโรงเก็บฟืน
กระต๊อบอาศัยนอนสำหรับผู้ยังไม่มีบ้านปูน
บ้านปูนที่เป็นที่ใฝ่ฝันอยากจะมีสักหลังของชาวชนบท ในภาพผู้เขียนได้นำจาน KU ไปทดสอบติดตั้งเพื่อเป็นของกำนัลให้บ้านที่อาศัย
การลงแขกทำนาปลูกข้าว
เกวียนเทียมควายของชาวเวียดนาม
ในประเทศเวียดนามเมื่อมีคนต่างถิ่นไม่ว่าใครถึงแม้จะเป็นคนเวียดนามเองเข้าในหมู่บ้านเมื่อมีการค้างคืนจะต้องมีการแจ้งหัวหน้าหมู่บ้านหรือตำรวจในหมู่บ้าน เราเองก็ต้องไปแจ้งด้วยเพื่อขอไปค้างคืนในหมู่บ้าน คาดว่าคงเป็นการป้องกันการรวมตัวรวมกลุ่มในการปลุกระดมแอนตี้กับรัฐบาล คนที่รับราชการที่มีอำนาจมากในแต่ละแห่งคือ ตำรวจ ซึ่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายชาวบ้านเลยทีเดียว ชาวบ้านในเวียดนามจึงต่างก็กลัวตำรวจกันเป็นอย่างมาก
สำหรับภาษาที่ใช้ในเวียดนามจะมีหลายร้อยหลายพันสำเนียงแต่มีตัวหนังสือแบบเดียว ในเวียดนามจะไม่มีภาษากลางให้ใช้ ใครสามารถฟังสำเนียงต่างถิ่นได้ก็ดีไปใครฟังไม่ออกก็จำเป็นต้องยอมเขียนหนังสือกันเอาเอง แต่เพราะชาวชนบทเวียดนามไม่ค่อยออกจากถิ่นจึงไม่ค่อยติดต่อกับต่างถิ่นเท่าไรจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้ แต่สิ่งที่รู้แน่ ๆ คือภาษาทางฮานอยและไซ่ง่อน(โฮจิมินท์) เพราะส่งสัญญาณโทรทัศน์ให้รับชมกัน ซึ่งทั้งสองภาษานี้ถ้าไม่ใช่คนเวียดนามคงนึกว่าเป็นคนละภาษากันแน่ แต่ชาวเวียดนามก็เข้าใจกันได้
สำหรับศาสนาของชาวเวียดนามที่ผมเห็นจะมีเพียงศาสนาคริตส์ และ บรรพบุรุษเท่านั้น สำหรับศาสนาคริตส์จะมีเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ แต่ตามชนบทจะเป็นการนับถือบรรพบุรุษแทน ในชนบทจึงไม่มีวัดใด ๆ อยู่เลย เมื่อมีบุคคลในครอบครัวเสียชีวิตจะนำศพไปฝังในทุ่งนาตามซินแสดูฮวงจุ้ยแนะนำ เราจึงเห็นทุ่งนาในประเทศเวียดนามมีหลุมศพกันกลางทุ่งอยู่มากมาย ในแต่ละบ้านจะมีหิ้งใหญ่ที่เหมือนหิ้งพระของไทยเราแต่มีขนาดที่ใหญ่กว่ากันมาก จะเป็นการกราบไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับแทน
ท้องทุ่งนาที่เต็มไปด้วยสุสาน
หิ้งบูชาบรรพบุรุษชาวเวียดนาม
สำหรับเครื่องใช้ต่าง ๆ ชาวเวียดนามเจอสินค้าแย่ ๆ จากจีนจนชินตา สินค้าราคาไม่แพงจากไทยจึงเป็นสิ่งที่ต้องการกันมากเพราะคุณภาพดีกว่าของจีนเป็นเท่าตัว เราจึงเห็นสินค้าหลายอย่างที่ทำเป็นสินค้าปลอมโดยการพิมพ์ตัวหนังสือไทยขายกันดาษดื่น(แค่ทำให้เป็นภาษาไทยแต่คนไทยอ่านแทบไม่ออก) สำหรับสินค้าในประเทศเวียดนามที่วางขายทั้งหมดเกือบทุกอย่างต้องพิมพ์เป็นภาษาเวียดนาม เขาถึงซื้อกัน เพราะชาวเวียดนามอ่านได้แค่ภาษาเดียวคือเวียดนาม ยกเว้นเครื่องดื่มยอดนิยมจากไทยเพียงตัวเดียวที่เห็นขายกันคือ กระทิงแดงกระป๋อง ชาวเวียดนามนิยมดื่มกันมากราคาขายคือ 10000 ดอง หรือประมาณ 20 บาท
ตัวอย่างไฟแช็คที่ทำตัวหนังสือไทยขาย
บริษัทใหญ่ ๆ ที่ทำการลงทุนในเวียดนามส่วนมากจะเป็นจีน เกาหลี และประเทศทางยุโป ส่วนไทยผมเห็นแค่ของ เครือเจริญโภคภัณท์(ซีพี)เจ้าเดียว(ใหญ่มาก) ลงทุนเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตรและอาหารสัตว์ ไก่ ประมาณนี้ พอดีขี่รถโดยสารจับภาพมาให้ดูไม่ทัน
การเกษตรกรรม
อาชีพหลักของชาวเวียดนามค่อนประเทศคือการทำนาปลูกข้าว และการปลูกพืชผลการเกษตร เช่นอ้อย ข้าวโพด มันสำปะหลัง และไม้ยืนต้นเพื่อแปรรูปในการทำไม้ มีการเลี้ยงเป็ด-ไก่กันทุกครัวเรือน ในการทำนาชาวบ้านจะร่วมมือกันเพื่อดำนาปลูกข้าว-เกี่ยวข้าวกัน โดยผลผลิตที่ได้จะส่งให้รัฐบาลขายในพันธ์ข้าวที่ดี ๆ แล้วเก็บไว้กินเองในส่วนของข้าวที่ไม่มีคุณภาพ ประเภทข้าวหักข้าวเม็ดเล็ก ๆ เป็นต้น โดยคุณภาพของข้าว ชาวบ้านก็รู้ดีว่าพันธุ์ข้าวของเวียดนามยังสู้ไทยไม่ได้ ข้าวไทยมีราคาแพงมากในประเทศเวียดนามต้องประเภทรวย ๆ จึงจะมีสิทธิ์ซื้อมากินกัน
ทุ่งนาที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา
ข้าวเปลือกของเวียดนาม
ข้าวสารที่ชาวบ้านใช้หุงกิน
ชาวบ้านในเวียดนามนิยมกินเบียร์กันมาก (ลิตรละประมาณ 8000ดอง หรือประมาณ 15-16บาท) แม้แต่เด็กอายุ 2-3 ขวบ เขาก็ให้กินกันแล้ว ส่วนในวัยทำงานถ้าออกจากโรงเรียนมาทำงานกันแล้ว(ประมาณอายุ15-16) ก็สามารถดูดบุหรี่กันได้แล้ว บุหรี่ในประเทศเวียดนามราคาถูกมาก(ซองละ 4000ดอง หรือประมาณ 7-8 บาท) คนเวียดนามจึงมีการสูบบุหรี่กันมากเห็น 100 คนสูบบุหรี่เป็นเสีย 99 คนแล้ว สำหรับเหล้าขาวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวเวียดนามชื่นชอบกันมาก ซื้อมากินกันทีเป็นลิตร ๆ
เมื่อเห็นวิถีชาวบ้านแล้วนึกถึงประเทศไทยขึ้นมาทันที ชาวนาไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าประเทศเวียดนามเป็นอย่างมากเพราะมี ของขวัญอันล้ำค่าที่"ในหลวง"ของเราพระราชทานให้คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" ซึ่งส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกพืช-เลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ ไว้กินเอง เหลือกินก็ค่อยนำไปขาย ทำให้ชาวบ้านอยู่อย่างอัตภาพไม่เดือดร้อน แต่ชาวบ้านในประเทศเวียดนาม ทำนาแล้วก็ปลูกแต่พืชผลการเกษตรเท่านั้น วันใหนราคาดีก็พอทน แต่วันใหนราคาตกก็คงจนกันทั้งชาติลืมตาอ้าปากไม่ได้ เพราะต้องหาซื้อทุกอย่างมากินกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในชาวบ้านวัยทำงานเมื่อชอบพอกันจะต้องมีการสู่ขอแต่งงานกัน โดยสิ่งที่ขาดไม่ได้คือชุดแต่งงาน อย่างไรก็ต้องสวมให้ได้สักครั้ง จึงมีร้านให้เช่าชุดเจ้าบ่าว-เจ้าสาวมากมาย เพื่อให้หนุ่มสาวที่จะแต่งงานกันได้มีชุดวิวาห์ได้สวมใส่กันในวันแต่ง และสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสาว ๆ คือชุดอ๋าวใหญ่ จะมีกันแทบทุกคนเพื่อใส่ในงานสังสรรค์ต่าง ๆ หรือใส่ไปยามไปเที่ยวก็ได้ ซึ่งเหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่จะต้องมีชุดกิโมโน แต่มองของไทยแล้วชุดไทยจะใส่ในงานแต่ง หรือ งานพิธีรำประมาณนี้เท่านั้น อีกอย่างคือหมวกที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเวียดนามของผู้หญิงจะเรียกว่า "กุ๊ก" ของผู้ชายจะเป็นหมวกที่ท่านโฮจิมินท์เคยใส่ มีกันทุก ๆ บ้าน ใส่กันได้ทุกที่ทุกเวลา
ภาพหมวกผู้ชายที่นิยมใส่กันทุกบ้าน
โดยรวมแล้วชาวเวียดนามมีจิตใจเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนบ้านกันมาก บ้านใครลูกหลานใครห่างไกลกันเป็น 10 กิโลเมตรก็ยังรู้จักกันได้
การศึกษา
ในประเทศเวียดนาม ในทางชนบทส่วนมากจะมีการศึกษาแค่ประถม6แค่นั้น ภาษาอังกฤษไม่ต้องพูดถึงเพราะโรงเรียนจะไม่บรรจุในบทเรียนบทสอนในโรงเรียน ถ้าต้องการเรียนรู้จะต้องเสียเงินไปเรียนเอง ชาวเวียดนามจึงไม่มีความรู้ในภาษาอังกฤษแม้แต่น้อย ทั้งที่การอ่านก็คล้าย ๆ กับภาษาเวียดนามแต่ชาวบ้านถ้าเห็นไม่เป็นภาษาเวียดนามชาวบ้านจะไม่สนใจเลย แต่เท่าที่สัมผัสกับคนเรียนภาษาอังกฤษในเวียดนาม จะอ่อนในเรื่องนี้มากเกือบทุกคน เพราะครูที่สอนเรื่องนี้อ่อนมาก สำเนียงภาษาอังกฤษใช้ไม่ได้เลย(ออกแนว ๆ เสียงเวียดนาม)
นักเรียนในเวียดนามไม่มีแบบฟอร์มนักเรียน จึงแล้วแต่ว่าจะใส่ชุดอะไรไปโรงเรียน ในหนังสือบทเรียนของเวียดนาม ในแต่ระดับชั้น ทุก ๆ เล่มจะแทรก มหาวีระบุรุษที่ชาวเวียดนามนับถือกันคือ "โฮจิมินท์" ไว้ในบทเรียนอยู่เสมอ โดยทุกกิจกรรมของชาวบ้านจะมีการอ้างท่านโฮจิมินท์ เพื่อใ้ห้ชาวบ้านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เนื่องจากชาวบ้านทุกคนในประเทศเวียดนามได้รับการปลูกฝังเรื่อง โฮจิมินท์ และ ความรักชาติอย่างเข้มข้น การพูดดูถูกชาวบ้าน หรือ อะไรก็ตามชาวบ้านก็รับได้ แต่ถ้าไปดูถูก เรื่องโฮจิมินท์ เรื่องการรักชาติ หรือเรื่องประเทศชาติ ชาวเวียดนามได้เอาตายแน่....
นับเป็นความผิดพลาดอย่างรุนแรงที่ทางราชการกำหนดเครื่องหมายตัวเลขในบทเรียนบทสอน เช่น 10.3 หมายถึง 10คูณ3 10.000 หมายถึง 1 หมื่น
3,25 หมายถึง 3.25 (สามจุดสองห้า) ทำให้เครื่องคิดเลขใช้ในประเทศเวียดนามไม่ได้ (แต่เขาก็อยู่กันได้)
และสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมของชาวเวียดนามคือ การไร้ระเบียบวินัย ใครอยากทิ้งขยะตรงใหนก็ทิ้ง ใครอยากสูบบุหรี่ตรงใหนก็สูบไม่ว่าบนรถเมล์ รถแท็กซี่ ฯลฯ การติดต่อราชการต่าง ๆ ก็ไม่มีคิวรอใครมือยาวสาวได้สาวเอา เราจึงเห็นการยืนออกันที่ด้านหน้าเจ้าหน้าที่ที่ช่องต่าง ๆ เพื่อให้ธุระของตัวเองสำเร็จ
การจราจร
ในประเทศเวียดนามมีการขับรถที่เลนขวา ทำให้สับสนเล็กน้อยในการขับรถ ในประเทศเวียดนามมีถนนที่แคบมาก ขนาดประมาณพอให้สิบล้อสองคันสวนกันได้ มีการใช้ทั้งรถ จักรยาน มอร์เตอร์ไซด์ และรถยนต์ต่าง ๆ ในท้องถนน มีการขับรถแบบตามใจฉัน คือไร้วินัยกันมาก ขับช้า ๆ ก็พากันขับกันกลางถนน อยากเลี้ยวก็เลี้ยวกระทันหัน จึงมีอุบัติเหตุกันบ่อยมาก ทางการเลยรณรงค์ให้สวมหมวกนิรภัยและเคารพกฎจราจรกัน แต่ค่อนข้างจะไร้ผล
ป้ายรณรงค์ให้สวมหมวกนิรภัยและเคารพกฎจราจร
ภาพมอร์เตอร์ไซด์ในเวียดนามที่ทุกคันจะเป็นแบบสตาร์ทมือทั้งสิ้น ไม่ไม่มีคันใหนเลยที่สตาร์ทด้วยเท้าอย่างเดียว
ภาพรถม้าที่ยังพอมีให้เห็นประปลาย
มองดูรถในประเทศเวียดนามมีทุกประเภท แต่.... ให้ตายเถอะหารถปิคอัพไม่เจอเลยสักคัน ประเทศเวียดนามไม่มีรถปิคอัพแม้แต่คันเดียวจริง ๆ ซึ่งต่างจากประเทศเพื่อนบ้านคือลาวมีรถปิคอัพมากกว่ารถเก๋งหลายเท่าตัว จึงมีแต่รถบรรทุก6ล้อเล็กแทน โดยตั้งแต่รถบรรทุกขึ้นไปทางเวียดนามกำหนดให้ต้องนำหมายเลขทะเบียนรถมาพิมพ์เพิ่มเติมที่ด้านข้างและด้านหลังรถเป็นตัวหนังสือตัวโต ๆ กันทุกคัน
รถบรรทุกที่ใช้แทนรถปิคอัพ
สำหรับสาว ๆ ที่ขึ้นชื่อว่าผิวขาวนั้น เป็นอะไรที่กลัวแดดกันมาก ถ้าขี่จักรยานจะต้องมีร่ม1คันกางอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นการขับมอร์เตอร์ไซด์หญิงชาวเวียดนามมีความอึดสูงมาก หาเสื้อผ้าใส่ที่คลุมได้ทุกส่วนสัดของร่างกายร้อนไม่ว่าแต่อย่าให้ถูกแดดเป็นพอ
สาวๆเวียดนามขี่จักรยานกางร่มที่เห็นจนชินตาในเวียดนาม
สาวๆสวมเสื้อผ้ากันแดดแบบไม่กลัวร้อนในกรุงฮานอย
ในประเทศเวียดนาม ตำรวจจราจรจะไม่จับรถยนต์(รถเก๋ง) เพราะส่วนมากจะเป็นผู้มีอันจะกินหรือเจ้านาย(ข้าราชการ) จึงจับเฉพาะรถมอร์เตอร์ไซด์กันโดยจะต้องมีใบขับขี่ สวมหมวกนิรภัย และห้ามซ้อนสาม โดยถ้าใครถูกจับแล้วจะมีการปรับที่แรงมากคือ ปรับประมาณ 3-400 บาท(สำหรับเขาแพงมาก) แต่ที่แย่กว่านั้นคือการยึดรถ1เดือน มอร์เตอร์ไซด์ที่ทำผิดจึงทำทุกวิถีทางที่จะหนีการจับกุมให้ได้ จึงเห็นมีการล่าจับกุมกันเป็นประจำ